วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรามีผิวประเภทไหนกันนะ.....?

บททดสอบง่ายๆ

--- เริ่มจากการล้างหน้า ด้วยสบู่อ่อนๆ เสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ทาครีมใดๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมง

ใช้กระดาษซับมัน แปะไว้ที่จุดต่างๆของใบหน้า คือ หน้าผาก แก้ม จมูก และคาง นำมาตรวจดู


... คนผิวผสม - กระดาษที่แปะไว้ที่จมูกและที่คางจะมัน ส่วนที่หน้าผากและแก้ม แห้งสนิท
... คนผิมมัน - กระดาษทุกแผ่นจะมันจนเห็นได้ชัด
... คนผิวแห้ง - กระดาษทุกแผ่นแห้งสนิท ไม่มีน้ำมันเลย


ผิวเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามสภาพแวดล้อม ควรทำความเข้าใจประเภทของผิวในช่วงเวลานี้ เพื่อที่จะได้เลือกใช้ครีมบำรุงที่เหมาะสมกับผิว

ผิวของคุณวันนี้....อาจไม่เหมือนของวันพรุ่งนี้ หรือเมื่อวานนี้

ทราบหรือไม่ว่า ผิวของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามสภาพแวดล้อม ทั้งฤดูกาล ภูมิอากาศ อารมณ์

... บางวันหน้าหมองคล้ำ --- ใช้ครีมที่มีสารพวก AHA เพื่อผลัดเซลล์ผิวให้ดูเปล่งปลั่ง
..... บางวันหน้าแห้ง โทรมมาก --- ก็ใช้ครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้น
....... ช่วงหน้าร้อน --- ควรเลือกใช้ครีมที่ไม่เหนอะหนะ เบาๆเป็นเนื้อเจล

เราควรรู้จักปรับเปลี่ยน การใช้ครีมบำรุง ให้เหมาะกับสภาพผิวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งควรเป็นการดูแลผิวที่เรามีอยู่ในวันนี้ ไม่ใช่ผิวของเมื่อวาน สัปดาห์ก่อนหรือเดือนก่อน

ดังนั้น การเลือกครีมบำรุงผิวให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ถือเป็น กุญแจสำคัญ ที่จะทำให้ผิวสวยขึ้น

วิธีใช้ครีมบำรุงให้ได้ผลสูงสุด

- ทำความสะอาดผิวหน้าก่อนทุกครั้ง จะทำให้ครีมซึมซาบได้ดี
- ทาทันทีหลังจากเพิ่งซับหน้า ให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพื่อให้สารที่อยู่ในครีมซึมสู่ผิวได้ดีขึ้น
- ผิวด้านบนสุดเป็นผิวหนังกำพร้าที่ตายแล้ว ถ้าสะสมมากจนหนาตัวจะเกิดริ้วรอยหยาบกร้าน ทาครีมก็ไม่ซึม ดังนั้นควรผลัดเซลล์ผิวส่วนนี้ออกไปอย่างสม่ำเสมอ
- ทาครีมลูบไล้เบามือ ด้วยนิ้วกลางและนิ้วนาง แล้วใช้นิ้วมือตบผิวเบาๆ 30 วินาที กระตุ้นให้ครีมซึมสู่ผิวดีขึ้น
- ปริมาณครีมไม่น้อยไป เพราะออกฤทธิ์ไม่ดี ถ้ามากไปก็ทำให้หน้ามัน
- คนผิวมันมากไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุง เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตันและเป็นสิวง่าย
- การทาครีมควรเรียงลำดับที่ซึมง่าย หรือเป็นยาก่อน ไม่ควรทาครีมบำรุงก่อนเพราะการทาครีมอื่นๆทีหลังจะทำให้การซึมซาบลดลง

บันได 5 ขั้น กุญแจสู่ความงาม

1. ทำความสะอาดผิวหน้า
- เช็ดเครื่องสำอางด้วยสำลีนุ่ม
- cleanser ที่ดี ไม่มีฟอง pHเป็นกรดอ่อนๆ ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง....ไม่ใช้ฟองน้ำถู
- ล้างเสร็จผิวหน้าต้องไม่แห้งตึง
- ไม่ใช้น้ำอุ่นล้างหน้า
- ซับน้ำด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ หรือ กระดาษชำระนุ่มๆ
- ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้ระคายเคืองและผิวแห้ง

2. ทาครีมบำรุงผิว
- ทาทันทีหลังซับหน้า ขณะที่ผิวยังเก็บความชุ่มชื้นอยู่
- ตบหน้าเบาๆ ครีมจะซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้ดีขึ้น

3. ครีมกันแดด
- ป้องกันผิวหมองคล้ำ ป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ ควรทากันแดดที่มีการป้องกันทั้ง UVA และ UVB

4. ผลักเซลล์ผิว
- ช่วยลดความมัน
- ผิวหน้าแข็งแรงสดใส ลดริ้วรอยเล็กๆ

5. ดื่มน้ำมากๆ และนอนเยอะๆ
- การวิจัยพบว่า ช่วง 4 ทุ่ม ถึง ตี 2 จะมีการหลั่ง growth hormone ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ ดังนั้นควรนอนในช่วงเวลานี้เป็ประจำ

ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับตา

ตาบวม ถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา

ข้อควรปฏิบัติ

- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรงนานๆ ควรใส่แว่นดำ กางร่ม หรือ หมวก
- รักษาความชุ่มชื้น ด้วยการทาครีมบำรุง เช่นครีมที่ส่วนผสมของ โคเอนไซม์ คิวเทน ,เรตินอล
- ดื่มน้ำมากๆ แต่หลีกเลี่ยง ก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง เพราะทำให้เกิดอาการตาบวมแล้วเกิดริ้วรอยตามมาได้
- หลีกเลี่ยงขยี้ตา หรือถูรอบดวงตาแรงๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้สายตามากๆ ควรพักสายตาทุก 1 ชั่วโมง ประมาณ5 นาที โดยการกระพริบตาบ่อยๆ หรือ มองภาพออกไปไกลๆ มองสีเขียว หรือจะนั่งหลับตาพักกล้ามเนื้อเลยก็ได้

อย่างไรจึงเรียกว่าผิวสวย

ผิวสวยจัดว่าต้องมีคุณสมบัติ 6 ประการ คือ

1. ผ่องใส
2. ชุ่มชื้น
3. ไร้จุดด่างดำ
4. นุ่มนวลกระชับ
5. ละเอียด
6. เต่งตึง

ผิวที่หยาบกร้านหมองคล้ำ เกิดจากการตกค้างของเซลล์ผิวที่เสื่อม วิธีแก้ไข คือ ควรผลัดหรือขัดเซลล์ผิวสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้วต่อวัน รับประทานอาหารให้เน้นผักและผลไม้ ทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันความหมองคล้ำและริ้วรอยก่อนวัย

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2551

การลอกหน้าโดยใช้สารเคมี (chemical peeling)


การลอกหน้าโดยใช้สารเคมี (chemical peeling)

chemical peeling คืออะไร
ผิวหนังของคนเรา เป็นอวัยวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผิวหนังประกอบด้วยชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าจะมีการสร้างขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาจากชั้นลึก และจะมีการเคลื่อนจากชั้นลึก ขึ้นสู่ชั้นบน และลอกหลุดไปเป็นขี้ไคล ใช้ระยะเวลาประมาณ 28 วัน
การลอกหน้าด้วยสารเคมี เป็นการใช้สารเคมีทาบนผิวหน้า ทำให้เกิดการลอกหลุดของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ตามมาด้วยการสร้างเซลล์ผิวหนังขึ้นใหม่จากข้างใต้ ผิวหนังใหม่จะมีความนุ่มนวล และสีผิวสม่ำเสมอกว่าเดิม นอกจากนั้นเชื่อว่า การที่ผิวหนังมีการอักเสบจากการใช้สารเคมีนี้จะทำให้มีการหลั่งสารหลั่งบางชนิด ไปกระตุ้นให้มีการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้น

การลอกหน้าโดยใช้สารเคมี มีระดับความลึกต่างๆกัน ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
๑. ชนิดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เช่น glycolic acid 30-70%, trichloroacetic acid 10-30% , salicylic acid 30-50%, phenol(carbolic acid), Jessner's solution
๒. วิธีการขณะทำการลอกหน้า เช่น ทากี่ครั้ง ระยะเวลาที่สารเคมีสัมผัสผิวหน้า ใช้สำลีหรือแปรง การนวดผิวหน้าขณะทาสารเคมี
๓. ผิวหน้าของผู้รับการรักษาเอง แต่ละคนไวต่อสารเคมีมากน้อยต่างกัน นอกจากนั้นการได้การรักษาบางอย่างมาก่อน ก็มีผลเช่นกัน เช่น การทากรดผลไม้ (AHA), การทากรดวิตะมินเอ (Retinoic acid), การทายาจำพวกสเตียรอยด์ , การทายารักษาฝ้าบางชนิดเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อการลอกหน้ามากขึ้น

สิ่งที่คาดว่าจะได้ผลดีขึ้นจากการทำ chemical peeling
แพทย์ผิวหนัง ทำการลอกหน้าโดยใช้สารเคมี เพื่อรักษาภาวะต่างๆ เช่น
๑. การรักษาสิว การลอกผิวหนังช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด comedone
๒. ใช้ในการรักษาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอบนใบหน้า จากกระ ฝ้าชนิดตื้น กระแดด ความผิดปกติของสีผิวที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าแต่ภาวะบางอย่างที่มีความผิดปกติอยู่ลึก มักไม่ได้ผลจากการลอกหน้าด้วยสารเคมี เช่น ไฝ ขี้แมลงวัน รอยดำหลังการอักเสบที่มีเม็ดสีอยู่ในชั้นลึก เป็นต้น
๓. ใช้รักษาร่องรอยแผลเป็นจากสิว
๔. ใช้รักษาร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ได้ผลกับรอยย่นที่ตื้นๆ
๕. รักษาโรคอื่นๆ ทางผิวหนัง เช่น การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังจากแสงแดด ที่เรียก actinic keratosis ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนังได้ การรักษา xant้helasma ซึ่งเกิดจากมีไขมันมาสะสมที่ผิวหนังบริเวณเปลือกตา เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ chemical peeling
หลังจากล้างหน้าให้สะอาดแล้ว จะมีการทาสารเคมีบนบริเวณใบหน้า ชนิด,ความเข้มข้น และระยะเวลาที่ทา ขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละรายไป ระหว่างที่ทำการรักษา จะมีอาการแสบและรู้สึกยิกๆ บริเวณที่สารเคมีสัมผัส ในรายที่ทำการลอกหน้าชนิดลึก อาจมีอาการแสบร้อน จนถึงปวดได้

การดูแลผิวหลังการทำ chemical peeling
ลักษณะผิวหน้าหลังการลอกหน้า ขึ้นกับความลึกของการลอกหน้า ถ้าทำการลอกหน้าเพียงตื้นๆ อาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน อาจมีการลอกเป็นขุยๆ ซึ่งการใช้ครีม moisturizer จะช่วยให้ผิวกลับสู่สภาพปกติได้
ผิวหน้าหลังการรักษาจะไวต่อแสงแดด จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะ ช่วงเวลาระหว่าง ๑๐ โมงเช้า ถึง ๓ โมงเย็น ถ้าจำเป็นต้องออกไปกลางแดด ควรกางร่ม หรือใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 เป็นอย่างน้อย ก่อนออกไปกลางแดดประมาณ ๑/๒ ชั่วโมง

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
-ในบางรายอาจมีสีผิวคล้ำขึ้นได้ โดยเฉพาะในรายที่มีสีผิวคล้ำอยู่แล้ว หรือรับประทานยาคุมกำเนิด หรือโดนแสงแดดมาก
-การเกิดแผลเป็น พบได้น้อยมาก มักพบในรายที่ลอกผิวหนังลงถึงชั้นลึก หรือในรายที่มีการอักเสบของแผลเกิดขึ้น หรือในคนที่เป็นคีลอยด์ง่าย นอกจากนี้มีรายงานว่า การรับประทานยาในกลุ่มกรดวิตะมินเอก่อนทำการลอกหน้า จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้มากขึ้น
-การติดเชึ้อเริมที่แผล โดยเฉพาะในรายที่มีประวัติของเริมอยู่ก่อน
-ผลข้างเคียงที่รุนแรง การลอกหน้าโดยใช้สารเคมี มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ จึงไม่ควรทำโดยบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ เพราะอาจไม่มีความรู้เพียงพอถึงคุณสมบัติของสารเคมีที่ใช้ การลอกหน้าในปัจจุบัน สารเคมีที่นิยมใช้คือ กรดผลไม้ ในความเข้มข้นต่างๆกัน พบการแพ้น้อยมาก(แต่ก็มีรายงานการแพ้) ค่อนข้างปลอดภัย
สารเคมีชนิดที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ได้แก่ resorcinol, salicylic acid, phenol(carbolic acid)

สิ่งที่ผู้รับการรักษาควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา
๑. หากท่านมีประวัติ การเกิดแผลเป็นง่าย หรือมีแผลเป็นชนิดคีลอยด์
๒. หากท่านมีประวัติเคยเป็นเริม
๓.หากท่านใช้ กรดผลไม้(AHA), กรดวิตะมินเอ( Retinoic acid), ยาทาจำพวกสเตียรอยด์ ,ยาทารักษาฝ้า หรือกินยารักษาสิวในกลุ่มกรดวิตะมินเอ มาก่อน
๔. หากมีภาวะต่างๆ ดังต่อไปนี้ ควรเลื่อนการทำการลอกหน้าออกไปก่อน
- มีการอักเสบของผิวหน้า เช่นมีสิวอักเสบ
- มีรอยขีดข่วน หรือรอยถลอกบนใบหน้า
- กำลังมีการติดเชื้อเริม ที่ริมฝีปาก หรือบริเวณใบหน้า
- เพิ่งทำการผ่าตัดบนใบหน้าไปภายใน ๓ เดือน เช่น ผ่าตัดหนังตา ดึงหน้า เป็นต้น